เที่ยวต่างประเทศ

พาเที่ยวคันไซ ใบไม้เปลี่ยนสีก็มี หิมะก็มา งบไม่เกิน 25,000 บาท

เที่ยวคันไซ งบไม่เกิน 25,000 บาท ใบไม้เปลี่ยนสี ก็มี หิมะก็มา 

ทริปนี้เหตุเกิดจากการจองตั๋วเครื่องบินผิดเดือน เลยทำให้เกิดจากจัดทริปสุดประหยัดแบบกะทันหัน โดยเดินทาง 5 วัน 4 คืน ด้วยงบประมาณรวมทุกอย่างไม่เกิน 25,000 บาท

Q: ทำได้จริงหรือ 🤫??
A: ทำได้จริงครับ รวมค่าเดินทางทุกอย่าง ยกเว้นชอปปิ้งกับของฝากจ้า

Q: ค่าตั๋วเครื่องบินเท่าไหร่กันนี่
A: ทริปนี้ จองตั๋วเครื่องบิน 🛫 โดยสายการบิน #airasia
โดยค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ พร้อมค่าสัมภาระ 9,150 บาท

Q: แล้วที่เหลือจะได้เที่ยวอะไรบ้าง
A: ขอบอกเลยว่าเที่ยวครบแบบจัดเต็มมากๆ
❤️เข้าสวนสนุก Universal Studio Japan จองผ่าน #traveloka ราคาถูกจริงๆ แถมดีต่อใจที่ไม่ต้องไปต่อคิวด้วย คลิกจองได้เลยจ้าา https://www.traveloka.com/th-th/activities/japan/product/universal-studios-japan-1000492399795

ไปสัมผัสหิมะ ที่ Rokko Snow Park ⛸️
⛩️ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ Fushimi Inari ด้วยจ้าา 🚅

Q: ของกินหละ งบขนาดนี้ กินอะไรได้บ้าง
A: จัดเต็มไม่แพ้เที่ยวเช่นกัน
กินทั้ง ร้าน Endo Sushi 🍣 ร้านซูชิ SushiZanmai
รวมถึงทาโกยากิ 🐙ร้านดัง กินต่อมันปูและก้ามปูย่าง
และตบท้ายด้วยขนมหวานอย่าง PABLO 🍮

Q: ที่พักหละ จะได้ดีไหม
A: ทริปนี้จอง Traveloka ไว้ทั้งหมด 3 คืน ที่โอซาก้า🌙
สนใจจองคลิกจ้า >> https://www.traveloka.com/th-th/hotel
คืนสุดท้ายใกล้สนามบินแถมมีรถรับส่งด้วย
รวมค่าที่พัก 6000 บาท เฉลี่ยคืนละ 1500 บาท

Q: แล้วช๊อปปิ้งหละ ได้ไปที่ไหนบ้าง
A: ทริปนี้เดินเที่ยวหลายย่านด้วยกัน😍
ทั้ง ย่านชินไชบาชิ ร้านดองกี้ และตบท้ายด้วยย่านรินกุ แถวสนามบินด้วยย 🎉🎉

โดยรูปที่เห็นในการรีวิวทั้งหมดมาจาก Sony a 5100 + Len kit + Lens Sigma 35f1.4

สำหรับ pocket wifi ครั้งนี้ผมใช้ของ Wi-ho ซึ่งสามารถรับและคืนได้ที่สนามบินได้เลยครับ วิธีใช้งานง่ายมากครับ เดินทางถึงปลายทาง แล้วเปิดเครื่อง แล้วเชื่อมกับตัวเครื่องเหมือนต่อไวไฟได้เลย ซึ่งมี user กับ password ติดอยู่ที่เครื่องเลยครับ ซึ่งชาร์ตแบตเต็มสามารถอยู่ได้นาน 8 ชั่วโมง แต่ถ้าท่านได้ตะลอนเที่ยวแต่เช้ามืดแล้วกลับดึกแนะนำให้ติด Power bank ไว้ชาร์ตด้วยนะครับ

ถ้าชอบฝากกดไลท์กดแชร์กันเยอะด้วยนะจ๊ะ อย่าลืมกดถูกใจเบาๆ ให้กำลังใจในการรีวิวครั้งนี้ด้วยนะครับ และขอฝากติดตามเพจกันด้วยนะครับ

Facebook : http://www.facebook.com/TeawMuNDotCom

หลังจากเกริ่นแนะนำการมาพักใหญ่กันแล้ว มาเริ่มต้นเดินทางพร้อมกันได้เล๊ยยย

สำหรับ pocket wifi ครั้งนี้ผมใช้ของ Wi-ho ซึ่งสามารถรับและคืนได้ที่สนามบินได้เลยครับ วิธีใช้งานง่ายมากครับ เดินทางถึงปลายทาง แล้วเปิดเครื่อง แล้วเชื่อมกับตัวเครื่องเหมือนต่อไวไฟได้เลย ซึ่งมี user กับ password ติดอยู่ที่เครื่องเลยครับ ซึ่งชาร์ตแบตเต็มสามารถอยู่ได้นาน 8 ชั่วโมง แต่ถ้าท่านได้ตะลอนเที่ยวแต่เช้ามืดแล้วกลับดึกแนะนำให้ติด Power bank ไว้ชาร์ตด้วยนะครับ รายละเอียดเพิ่มเติมดูจากเว็บได้เลยจ้า

หลังจากเกริ่นแนะนำการมาพักใหญ่กันแล้ว ได้เวลาเริ่มเดินทางวันแรกกันแล้ว ^_^

การเดินทางวันแรก

ทริปนี้เริ่มต้นเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เพื่อเดินทางจาก ดอนเมือง ไป นาโกย่า หลายท่านอ่านแล้วงงใช่ไหมทำไมผมถึงเลือกลงนาโกย่า เหตุผลเดียวเลยครับ ราคาตั๋วลงนาโกย่าเทียบกับลงสนามบินคันไซต่างกันประมาณสามพันบาท เราเลือกลงนาโกย่าแล้วยอมต่อรถไฟไปโอซาก้าต่อ ประหยัดไปได้ประมาณ 1500 บาทครับ

โดยเริ่มเดินทางจากดอนเมือง ตั้งแต่ 6.30 ถึง นาโกย่าประมาณ 14.15 น.

เดินจากสนามบินคันไซ เสียค่าตั๋ว 870 เยน มาลงสถานี MEITETSUNAGOYA เดินทางประมาณชั่วโมงนึงเข้าไปถึง

เดินทางถึงสถานี KINTETSUNAGOYA กันแล้ว หาของกินมื้อแรกที่ญี่ปุ่น พึ่ง Family Mart กินซูชิรองท้องก่อนนั่งรถไฟเข้าโอซาก้าจ้าา

เดินทางจาก สถานี Namba-Osaka มายังสถานี Hanazonocho ซึ่งใกล้ที่พักของเราในทริปนี้สามคืนแรกจ้าา

ทริปนี้จอง エルメゾン  Traveloka ไว้ทั้งหมด 3 คืน ที่โอซาก้า🌙
สนใจจองคลิกจ้า >> https://www.traveloka.com/th-th/hotel

ห้องค่อนข้างดี มีเครื่องซักผ้า เครื่องทำน้ำอุ่น ตู้เย็น ห้องน้ำเครื่องอาบน้ำครบ เตียงเป็นเตียงคู่ สามารถลากติดกันได้ แต่เสียอย่างเดียวหมอนใบเล็กและบางมากก (กอไก่ล้านตัววว)

จากการหาข้อมูลใกล้ๆที่พัก ปรากฏว่ามีร้าน TAMADE เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เปิด 24 ชั่วโมงใกล้ที่พักและยิ่งดึกอาหารยิ่งถูก จัดไปสิรอไร ซื้อแบบตุนไว้สำหรับสามวัน คุ้มมากก
กินแบบอิ่มจบทริปวันแรกแบบฟินๆ แบบสบายกระเป๋ามากเลยครับ

การเดินทางวันที่สอง

มาเที่ยวกันต่อวันที่สองกันจ้า โปรแกรมวันนี้ตื่นเช้าไปกินร้าน ENDO SUSHI แล้วเที่ยว Universal Studio Japan ทั้งวัน สำหรับสาวก Harry Potter หรือใครที่วางแผนเข้า USJ ห้ามพลาด !!! ด้วยประการทั้งปวง

อมยิ้ม16

การเดินทางมาสถานี TAMAGAWA(OSAKA) ทางออก 3 แล้วเดินตรงไปสุดจะเห็นสี่แยกสุดท้ายก่อนถึงสะพานข้ามแม่น้ำ เลี้ยวขวาตรงแยกนั้นแล้วเดินตรงเข้ามาได้เลยจ้าา ร้านจะอยู่ซ้ายมือหน้าทางเข้าตลาดปลาโอซาก้าเลยจ้าา

เดินทางจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินมาไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงหน้าร้านแล้ว หน้าร้านมีภาษาไทยด้วย แถมวันนี้โชคดีสุดๆ ไม่มีคิวเลย เข้าแบบชิวๆ ไปจ้า

การสั่งอาหารในร้านนี้ ถ้าสั่งสี่เมนูหลัก ราคาจะเท่ากัน สามารถเปลี่ยนได้ทุกอย่าง ยกเว้น TORO ชาเขียวรสชาติเข้มมาก ค่อยๆกินนะครับ ส่วนมิโซถ้าสั่งเพิ่มคิดเงินชุดนึง 700-800 เยนนี่แหละ จำราคาไม่ได้

วันนี้เลยสั่งไปเบา ชุด 1,2,4 ทั้งหมด 15 คำ มันเบาตรงไหนหนิ

อมยิ้ม06

แต่กินปลาไม่อ้วน คิดแบบนี้ก็สบายใจหน่อย กินไปอย่าให้เหลือเจ้าค่าา

กินอาหารเช้าด้วย ซูชิแสนอร่อยจนอิ่มแปร่แล้ว ได้เวลาเดินทางไปสวนสนุก Universal Studio Japan กันแล้วจ้าา

และแล้วก็มาถึงหน้า Universal Studio Japan กันแล้ว เย้ๆๆๆๆ มาถึงก็ถ่ายรูปหน้าลูกโลก Landmark กันซักหน่อยจ้าา

ก่อนเดินทางเที่ยวภายใน USJ ผมขอนำแผนที่ภายในมาให้ชมเพื่อความเข้าใจง่ายขึ้นกันนิดนึงจ้าา

หลังจากเข้า USJ กันแล้ว เราดิ่งตรงกันเข้าไปที่โซน Harry Potter กันก่อนเลยจ้าา

เดินเข้าโซน Harry Potter มุ่งหน้ามาต่อคิว Harry Potter and the Forbidden Journey ตามเวลาต้องต่อคิวประมาณ 70 นาที
แต่เนื่องด้วยคิวจัดการค่อนข้างดี ทำให้ไม่รู้สึกว่าต่อคิวนานเลยจ้าาา พอถึงเวลาเล่นจริงๆ รู้สึกตื่นเต้นแล้ว

ก่อนเข้าต้องฝากกระเป๋าไว้ก่อนจ้าา ถึงเวลาได้เครื่องเล่นนั่งได้ 4 คนต่อครั้ง เป็นเครื่องเล่นที่มีความสมจริงๆมาก แม้จะนั่งบนเบาะแต่เหมือนเราเป็นส่วนหนึ่งที่นั่งไม้กวาดเลยจ้าา ต้องมาลองเล่นจ้าา เล่นเสร็จออกมาจะเจอร้านขายของฝาก ก็จะไม่พ้นของ Harry potter ทั้งไม้กายสิทธิ์ ผ้าคลุม ขนม และของระลึกทั่วไปจ้า

เดินออกมาเจอร้านขายบัตเตอร์เบียร์ทั้งที จะไม่ลองชิมได้ไง จัดไป!!!

ถ่ายรูปบรรยากาศด้านนอกกันต่อให้หนำใจ ซึ่งต้องชื่นชมว่าที่นี่ทำบรรยากาศได้สมจริงมากครับ

เดินออกจากโซน Harry Potter ตั้งใจมาดูการแสดงที่โซน Waterworld แต่ต้องรอรอบต่อไปค่อนข้างนาน

เลยหาข้าวกินริมน้ำกันนิดนึง อาหารเป็นพิซซ่าแต่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้จ้า บรรยากาศเหมาะแก่การนั่งพักที่แท้ทรูจ้าา

เลยเดินต่อไปโซน Jurassic Park จะพลาดได้ไง ที่จะเล่นเครื่องเล่น Flying Of Dinosaur

ถ้าถามส่วนตัว มันเป็นเครื่องเล่นที่เป็นที่สุดของ USJ แล้วนะครับ เดี๋ยวเอาภาพเครื่องเล่นมาให้ชมครับ

เดินมาชมการแสดง Backdraft เป็นการแสดงดับเพลิง จ้าา

จากนั้นมาเดินเที่ยวกันต่อที่โซน Minion Park เป็นโซนที่น่ารักมากๆเลย สาวก Minion ต้องชอบโซนนี้มากครับ

มาถึงโซน Minion Park แล้วถ้าไม่มาเล่นเครื่องเล่น Despicable Me ถือว่ามาไม่ถึงจ้าา เป็นเครื่องเล่นแบบนั่งเครื่องละ 8 ที่นั่ง เสมือนหนึ่งเราเข้าไปอยู่ในหนัง Minion เลยจ้าา ถือว่าดีมากกก ต้องมาลองเล่นนะจะ

และที่จะพลาดลองชิมไม่ได้ เนื่องจากกลิ่นหอมมันเตะจมูกแรงจริงๆ คือ ป๊อบคอร์นแสนอร่อยแล้วที่ใส่สามารถเลือกลายมินเนี่ยนน่ารักๆได้แล้ว ราคาอาจจะแรงไปซะหน่อย แต่ก็แพ้ความน่ารักอยู่ดี 555

ออกจากโซน Minion Park มาต่อกันที่โซน Newyork กันจ้าา มาต่อคิวเล่นเครื่องเล่น Spiderman กันต่อเลยครับป๋ม

เครื่องเล่น Spiderman จะคล้ายๆ  Despicable Me ต่างกันตรงที่ต้องใส่แว่น 3D จ้าา

หลังออกมาจากเล่นเครื่องเล่น Spiderman จะมีการแสดงพิเศษเนื่องจากช่วงนี้เป็นเทศกาลคริสมาสต์

การแสดงเสร็จได้เวลาเข้าไปถ่ายรูปตอนกลางคืนในโซน Harry Potter กันต่อจ้าา มีโชว์เล็กประมาณห้านาทีให้ดูนะครับ

ถ่ายรูปโซน Harry Potter กันแล้ว เดินแวะเที่ยวโซนสุดท้ายที่เดินผ่านมาเมื่อเช้า Universal Wonderland

เดินเที่ยวกันพอสมควร ได้มีสองทุ่ม มี Night Parade ซึ่งสามารถเช็ครอบจากเว็บได้เลยจ้า

https://www.usj.co.jp/e/universal-night-parade/ ถ้าว่างแล้ว ห้ามพลาด!!!

สำหรับใครต้องการดูคลิปการแสดงพาเหรดก็สามารถเข้าไปดูได้ในคลิปเลยจ้าา

ขอจบ Day 2 ด้วยบรรยากาศยามค่ำคืนของ Universal Studio Japan จ้าา

การเดินทางวันที่สาม

เช้าวันที่สาม ตั้งใจไป Rokko Snow Resort โดยใช้ Rokko Snow Pass ค่าใช้จ่ายประมาณ 3000 เยน

เดินทางจาก Umada (Hankyu) ใช้เวลาเดินทางประมาณ ชั่วโมง เพื่อเดินทางไปสถานี Rokko จ้าา

เดินทางถึงสถานี Rokko แล้วเดินออกมาขึ้นรถบัสสาย 16 ต่อเพื่อเดินทางไป สถานี Rokko Cable Car Station จ้าา

ใช้เวลานั่งรถบัสประมาณ 30 นาทีก็จะถึงสถานี Rokko Cable Car Station

นั่งรถรางประมาณสิบห้านาที ซึ่งเจอใบไม้แดงออกมาทักทายแต่เช้าเลยจ้าา สวยจริงๆ จ้า

สุดทางสถานี Cable Car กันเรียบร้อยแล้ว วิวด้านบนสวยงามมากจ้าา

นั่งรถบัสต่อไป Rokko Snow Park จ้าา ประมาณยี่สิบห้านาที นั่งชิวๆชมวิวเพลินๆ ในที่สุดก็ถึงแล้วจ้าา Rokko Snow Park จ้าา

มาถึงแล้วจ่ายค่าตั๋ว และเช่า ถาด Sled กันก่อนจ้าา แต่เนื่องจากซื้อ Rokko Snow Park กันมาแล้ว ไม่ต้องเสียค่าเข้าจ้าา
และค่าเช่า Sled ราคา 1500 เยน แต่มีค่ามัดจำ 1000 เยนหลังจากมาคืนจ้าา

เข้ามาแล้ว เดินเข้าหาร้านอาหารกันก่อน เนื่องจากยังไม่ได้กินอารายแต่เช้าเลยจ้าา เป็นตู้กด กดๆ ตามที่อยากกิน แล้วไปรับมาที่โต๊ะได้เลยจ้าา

กินเสร็จแล้วจ้า ได้เวลาเล่นหิมะกันแล้วจ้า ที่ Rokko Snow Park แบ่งโซนเล่นสกี กับ Sled ไว้ชัดเจนจ้า พามาชมโซนเล่นสกีกันก่อนจ้า บรรยากาศน่าเล่นมาก แต่เล่นไม่เป็น 555

มาชมโซนเล่น Sled กันเล๊ยยย เดินไปทางด้านขวายาวๆ ก็จะเจอลานสกีจ้า

เล่น Sled กันหนำใจ มาจุดปั้นตุ๊กตาหิมะเล่นกันดีกว่า น่ารักมากเลย มีแต่เด็กๆ เต็มเลยย

เที่ยว Rokko Snow Park เสร็จแล้ว นั่งรถไฟกลับมาสถานี Umada (Hankyu) กันเหมือนเดิมจ้าา

เดินทางมาเที่ยวต่อโดยลงสถานี Namba เพื่อมาเดินชอปปิ้งย่าน Shinshibashi กันต่อคร้าบบ

แวะซื้อเครื่องเวชภัณฑ์ทั้ง วิตามิน ยาสีฟัน ครีมกันแดด และอื่นๆกันที่ Matsutomo ก่อนจ้าา

ร้าน Matsutomo ป้ายสีเหลืองๆ หาง่ายครับ เป็นร้านขายเวชภัณฑ์ ทุกชนิด ทั้งแปรงสีฟัน ยาสีฟัน วิตามิน ครีมกันแดด ครีมบำรุงผิว แทบทุกอย่างที่คนไทยฮิตๆมาซื้อที่ญี่ปุ่น ต้องมาหาที่ร้านนี้ ซึ่งถ้าซื้อเกิน 5,000 เยน สามารถ Tax Refund ได้ที่ร้านเลยจ้าา

ชอปต่อกันที่ร้านกลุ่มขายรองเท้า ทั้ง ABC MART , Adidas , Nike , Onisuka รุ่นใหม่ๆ ให้หาซื้อที่นี่เลยครับ ถ้าไปชอปใกล้สนามบิน รับประกันไม่มีรุ่นใหม่ๆครับ ถ้าซื้อเกิน 10,000 เยน สามารถ Tax Refund ได้ที่ร้านเลย ยกเว้นร้าน ABC MART ที่ไม่สามารถ Tax Refund ได้นะจะ อดไปจ้าา

แวะชอปปิ้งต่อกันที่ ร้าน Dongki Hote หรือคนไทยเรียกสั้นๆว่าร้านดองกี้จ้า

ร้านที่มีโครงเหล็กเหลืองๆ และมีสัญลักษณ์เพนกวินสีฟ้า เดินเข้าไปโลด ท่านมาถูกร้านแล้วจ้าา

ร้านสาขานี้จะมี หลายชั้นด้วยกัน แนะนำให้เดินขึ้นไปชั้นบนสุดก่อนแล้วค่อยไล่ลงมาด้านล่างจ้าา ภายในจะมีทั้งสินค้าแบรนด์เนม ทั้งกระเป๋า และนาฬิกา, เครื่องใช้ประจำวัน, เสื้อผ้า, ขนมและของฝาก มากมาย เยอะจริงๆครับ ต้องเผื่อเวลาเดินในนี้ประมาณชั่วโมงครึ่งได้

แต่ข้อเสียของที่นี่คือ ของอยู่ชั้นไหน ท่านต้องจ่ายเงินชั้นนั้น แล้วรวบรวมใบเสร็จมา Tax Refund ด้านล่างจ้าา มาถึงโอซาก้า ถ้าไม่ได้มาถ่ายรูปกับป้ายกูลิโก๊ะ ก็เหมือนมาไม่ถึงโอซาก้าสินะ

ถ่ายรูปเสร็จถึงเวลาหาของกินแล้วจ้าา ตอนแรกกะกินร้านซูชิ 100 เยน หาไม่เจอก็ไปจบกันที่….ร้านซูชิเซ็นไม เป็นร้านที่มีสาขาเยอะเป็นอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น แถมยังไม่แพงด้วยจ้าา

วันนี้เลือกสั่งเซทปลาทูน่าบลูฟิน แถมด้วยแซลม่อน 2 คำ และอีกชุดไม่แน่ใจแต่อร่อยมากเลยจ้า

ออกจากร้านซูชิเซ็นไมกันแล้ว มายืนต่อคิวซื้อทาโกะยากิ 6 ลูก 800 เยน อิ่มอร่อยปากพองกันนิดๆ 555

กินจากทาโกะยากิแล้ว มาต่อคิวซื้อมันปู และขาปูย่าง หน้าร้านปูชื่อดัง มันปู กับ ขาปูย่าง 1500 เยนจ้าา

จบของคาวกันแล้ว มาด้วยของหวานกันที่ Pablo กินกันที่ร้านเลยจ้าาา

ขึ้นไปสั่งเค้กแบบ Original กับ ไอติมสตอเบอรี่ ที่เสริฟมาเป็นแก้วทรงสูงเลยจ้าา

สำหรับวันที่สาม ได้สัมผัสหิมะ แถมได้เจอใบไม้เปลี่ยนสีด้วย และตะลุยกินกันจนเพลียทั้งวันเลย ขอจบ Day 3 ด้วยวิวถนนยามค่ำคืนแล้วกันนะครับบ

การเดินทางวันที่สี่

มาต่อวันที่สี่ กันครับ วันนี้เป็นวันสุดท้ายในการเที่ยว เพราะต้องไปพักใกล้สนามบินเพื่อเดินทางกลับวันรุ่งขึ้นกันแล้วจ้าา โดยซื้อ Kansai Thru Pass 1 Day ในราคา 2200 เยน โดยซื้อผ่าน HIS ได้ในราคาค่อนข้างดีทีเดียว

วันนี้เริ่มต้นด้วยสถานี Osaka เพื่อแลก Pass กันก่อนเดินทางเป็นอย่างแรก โดยสามารถแลกได้จาก Travel Service จ้าา

อย่างที่สองคือการฝากกระเป๋าใน Locker ซึ่งวิธีง่ายมากก

หนึ่ง หาช่องที่ว่างสังเกตุประตูที่มีไฟเขียวแสดงว่ายังว่าง กดหน้าจอตรงเมนูฝากกระเป๋า
สองใส่กระเป๋าเสร็จ กดเลื่อนลอคลงเป็นสีแดง แล้วจ่ายเงินตามราคาที่กำหนด โดยจ่ายเป็นเหรียญร้อยเยนทั้งหมด
สาม รับสลิปเป็นอันเรียบร้อย

ขาเอากระเป๋ากลับเลือกเมนูเอากระเป๋า สแกนสลิปที่ได้ตอนแรกเป็นอันเสร็จครับ

หลังจากฝากกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เดินทางไปเที่ยวกันไปแล้วว เย้ๆๆ เดินทางไปจุดหมายแรก สถานี Inari

ถึงสถานี Inari แล้วเดินสำรวจร้านข้าวกันก่อน ไปจบที่ร้านปลาไหล ย่างแสนอร่อย

อิ่มอร่อยกันเรียบร้อยแล้ว ได้เวลาเที่ยว Fushimi Inari กันแล้วจ้าา

มีเสาโทอิพร้อมใบไม้เปลี่ยนสีคอยต้อนรับตั้งแต่หน้าประตูเลยจ้าา

เดินเข้าไปด้านใน จะเป็นจุดไฮไลต์เป็นเสาโทอิเรียงรายพร้อมมุมถ่ายใบไม้เปลี่ยนสีหลายจุด

ผมไม่ขออธิบายมาก ให้ภาพมันบรรยายบรรยากาศภายในเอาแทนละกันนะครับ ว่าสวยงามแค่ไหน

หลังจากเที่ยวเสร็จแล้ว สถานี INARI ไปยังสถานีโอซาก้า เพื่อเอากระเป๋าที่ฝากไว้

จากนั้นนั่งรถไฟยัง  “Rinku Premium Outlet” อยู่ใกล้สนามบินคันไซมาก เดินทางได้ด้วยรถไฟมาลงสถานี Rinku Town แล้วออกทางออก 2 เลี้ยวซ้ายตามทาง แล้วเดินทะลุห้างมาเรื่อยๆ จะเจอ Rinku Premium Outlet

ซึ่งภายในจะมีสองโซน คือโซน Outlet ด้านใน กับ โซนห้างติดทะเล ตรงที่เดินมาจากสถานี Rinku Town

ร้านที่ผมต้องมาตลอดคือ ร้าน Raw Edge ชั้น 2 ห้าง Seacle ทีเด็ดที่ผมมาหาของในร้านนี้ก็คือ กระเป๋า Anello  ภายในจะมีกระเป๋า Anello เพียบ มีให้เลือกหลายรุ่น ใบนึงประมาณ 1,300-1,500 บาท  แถมบางรุ่นมีส่วนลด 20% และถ้าซื้อเกิน 5,000 เยน ก็สามารถ Tax Refund ได้ที่ร้านเพิ่มอีกจ้าา

ถ้ามาจากสถานี Rinku Town  เดินมาจะเจอบันไดเลื่อนด้านขวาอันแรกเลย แล้วหันไปสังเกตุร้านด้านซ้าย จะเจอร้านเลยครับ

แต่ถ้ามา Rinku Premium Outlet ให้หาร้าน Adidas ที่ชั้นสองครับ หันหน้าเข้าร้าน แล้วเดินมาทางซ้ายจะเจอทางเชื่อมไป Rinku Town เดินไปเจอบันไดเลื่อนร้านอยู่ด้านขวาครับ

และแวะต่อร้านกลุ่มขายรองเท้า พวก Nike Adidas Onisuka Asics ต่อให้ไปดูย่านชินไซบาชิแล้ว แต่มาที่ Rinku Premium Outlet ก็ต้องขอแวะดูเผื่อมีรุ่นถูกๆ ลายสวยๆ เท่ๆให้เลือกชอปกันก่อนกลับจ้าา

เดินทางเข้าที่พักคืนสุดท้ายวันนี้ Hotel Aston Plaza Kansai Airport เป็นอันจบทริปนี้ก่อนเดินทางไปสนามบินจ้าา

การเดินทางวันที่ห้า (วันสุดท้าย)

เตรียมตัวเดินทางกลับประเทศไทย โดยต้องเดินทางจากสนามบินคันไซ โดยรถรับส่งโรงแรม รอบ 5.30 น. ซึ่งเป็นรอบแรก

ถึงสนามบินเช็คอิน ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เพื่อเตรียมตัวขึ้นเครื่องกันจ้าแต่….เข้ามาแล้ว เจอร้านขายของฝากดักก่อนกลับประเทศไทย แวะดูซักหน่อย

ซึ่งภายในจะมีร้านขายของฝากทั้งขนมที่หายากจากร้านนอก เช่น ช็อคโกแลต และมันฝรั่งเคลือบช็อคโกแลตของ Royce, tokyo milk cheese, Kitkat รสแคนตาลูป ก็สามารถหาได้จากที่นี่เช่นกันจ้าา

ส่วนทริปต่อไปจะเดินทางไปไหนกัน  ติดตามชมเพิ่มเติมกันได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/TeawMuNDotCom

หน้าแรกเว็บ

แสดงความคิดเห็น

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.